นี่คือความฝันของช่างภาพแต่งงานระดับโลก พี่โอ๊ต ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี (OAT-CHAIYASITH) ผู้สร้างชื่อเสียงให้กับวงการถ่ายภาพของประเทศไทยด้วยภาพถ่ายที่มากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งกว่าพี่โอ๊ตจะขึ้นมายืนถึงจุด ๆ นี้ เขาได้ปล่อยชีวิตให้เรียนรู้ความฝันต่าง ๆ ลองผิดลองถูกมามากมาย จนเรียกได้ว่า โลกของพี่โอ๊ต ชัยสิทธิ์ มีสีสันจนยากที่จะหาใครเทียบได้เลยครับ
ความฝันอันขวางโลก
“คนเราไม่เคยมีความฝันที่แน่นอนครับ และไม่จำเป็นต้องมีแค่ความฝันเดียวด้วย มันเปลี่ยนไปตามวุฒิภาวะ ตอน ป.4 ครูเคยถามทุกคนในห้องว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ทุกคนตอบว่าอยากเป็นหมอ ครู ทหาร ตำรวจ ฯลฯ มีแต่พี่คนเดียวที่ตอบว่า อยากเป็นสถาปนิก วินาทีนั้นเพื่อนทั้งห้องเอ๋อไปตาม ๆ กันสิว่า สถาปนิกคืออะไร”
จากตอนนั้น พี่โอ๊ตยังคงเดินตามความฝันนี้ จนได้เรียนต่อที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่พี่โอ๊ตได้พบกับประสบการณ์ที่หลากหลาย จนได้มารู้จักกับการถ่ายภาพ พี่โอ๊ตบอกสั้น ๆ ว่า
นี่แหละ โลกใหม่ของพี่ เพราะความสนุกจากการได้เรียนรู้ จากที่ไม่รู้อะไรเลยว่า White Balance, สปีดชัตเตอร์, รูรับแสง ฯลฯ คืออะไร จนได้มีโอกาสถ่ายภาพจริงจัง พี่โอ๊ตเริ่มรู้สึกอินกับการถ่ายภาพมากขึ้นแล้วบอกว่า
โอเค ลุยให้สุดไปเลย
ช่างภาพระดับโลก
ครั้งหนึ่ง อาจารย์เคยถามในคลาสเรียนว่า เรียนจบแล้วจะทำอะไร พี่โอ๊ตกลับตอบว่า “ผมจะเป็นช่างภาพระดับโลกครับ” ทั้ง ๆ ที่เพื่อนคนอื่น ๆ ตอบในทางเดียวกันว่า จะเป็นสถาปนิก เป็นดีไซน์เนอร์ สร้างผลิตภัณฑ์ให้กับแบรนด์ของตัวเอง
“ตอนนั้นที่พี่ตอบอาจารย์ไป ทุกคนในห้องขำก๊ากเลย หาว่าพี่เพ้อเจ้อ แต่อาจารย์บอกทุกคนในห้องว่ายังไงรู้ไหม อาจารย์บอกว่า โอ๊ตจะเป็นคนที่ไปได้ไกลที่สุด เพราะคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต คือคนที่พยายามคิดนอกกรอบและทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น ถ้าเราทำอะไรที่เหมือน ๆ กัน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะยากขึ้น เพราะสิ่งที่ตามมาคือ การเปรียบเทียบและแข่งขันกัน”
แม้กระทั่งโอกาสสำคัญต่าง ๆ ที่มักจะมีการถ่ายภาพเป็นที่ระลึก พี่โอ๊ตยังโดนเพื่อน ๆ แซวเป็นประจำเลยว่า
“เฮ้ย ! มึงต้องให้ช่างภาพระดับโลกถ่ายสิวะ”
ภาพถ่ายนี้เป็นภาพที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุดยอดภาพถ่ายแต่งงาน จากการประกวดภาพถ่ายของสมาคมช่างภาพแต่งงานโลก : WPJA Q3 2016
ภาพถ่ายนี้เป็นภาพที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุดยอดภาพถ่ายแต่งงาน จากการประกวดภาพถ่ายสมาคมช่างภาพแต่งงานโลก : WPJA Q1 2016
ภาพถ่ายนี้เป็นภาพที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุดยอดภาพถ่ายแต่งงาน จากการประกวดภาพถ่ายสมาคมช่างภาพแต่งงานโลก : WPJA Q1 2016
สำหรับคนอื่น ๆ ที่ได้ยินประโยคนี้อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่ในใจพี่โอ๊ตกลับจริงจังสุด ๆ จนวันหนึ่ง พี่โอ๊ตตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำยังไงให้ประสบความสำเร็จเหมือน Steve McCurry ช่างภาพจาก National Geographic พี่โอ๊ตก็ต้องหมั่นฝึกฝน พัฒนาฝีมือ ตีโจทย์ให้แตก แล้วจะเห็นหนทางสู่ความสำเร็จเอง
“จนมาถึงจุด ๆ หนึ่ง พี่รู้สึกว่าเริ่มถึงทางตันแล้ว เพราะการแข่งขันภายในประเทศยังรู้สึกท้าทายตัวเองน้อยไป ต้องเอาตัวเองออกไปสู่โลกที่กว้างกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง จนกระทั่งตอนทำธีสิส ซึ่งพี่ต้องขอคำปรึกษาจากอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ หลายด้านมาก เลยได้แชร์ประสบการณ์กัน จนได้คุยกับที่ปรึกษาท่านหนึ่งชื่อพี่นุช รู้ไหมว่าวันนั้นพี่คุยกับพี่นุชตั้งแต่ 10 โมงเช้ายัน 4 ทุ่ม จนได้บทสรุปที่เป็นแรงบันดาลใจสุดโดนจากพี่นุชว่า”
โอ๊ตเป็นคนมีของ ต่อยอดได้อีกไกล โอ๊ตไปเถอะ พี่เชื่อว่าโอ๊ตทำได้
หลังจากวันนั้น พี่โอ๊ตตัดสินใจทันทีว่าจะไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ต่างประเทศ โดยเลือกไปที่ประเทศอังกฤษ พี่โอ๊ตเล่าให้ฟังว่าตอนวางแผนถึงกับต้องเขียนเป็น Mind Mapping เลยว่า ไปแล้วจะไปทำอะไร นานเท่าไหร่ แล้วจะได้อะไรกลับมา และต้องใช้เงินเท่าไหร่ ซึ่งประเด็นสุดท้ายสำคัญมาก เพราะคำนวณรวม ๆ แล้วประมาณหลักล้านเห็นจะได้ พี่โอ๊ตบอกว่าถือเป็นข้อดีของการเรียนสถาปัตย์ฯ ก็คือระบบการคิดที่เป็นแบบ Logical นี่แหละ เพราะทำให้เรารู้จักลำดับความสำคัญก่อน – หลังได้ง่าย ซึ่งมีผลต่อการทำงานของช่างภาพมาก ๆ ด้วย
“พี่ไม่อยากบอกแม่เรื่องเงิน กลัวแม่เป็นทุกข์ เพราะเงินทุนจำนวนนั้นอาจจะทำให้แม่ต้องขายบ้านขายรถเพราะพี่คนเดียว ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องทำงาน ทำทุกอย่างที่ได้เงิน หลัก ๆ ก็รับงานถ่ายภาพ ดีไซน์เนอร์ กับเป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการต่าง ๆ หรือแม้แต่แจกใบปลิว เป็นแคชเชียร์ พี่ก็เคยทำมาแล้ว ตอนนั้นต้องใช้ความอดทนสูงมาก ลูกค้าขออะไรมาก็เซย์เยสเท่านั้น”
พี่โอ๊ตใช้เวลา 1 ปี 6 เดือนในการเก็บเงินจนได้ตามจำนวนที่ตั้งไว้ ซึ่งในช่วง 6 เดือนสุดท้ายก่อนบรรลุเป้าหมาย พี่โอ๊ตรับเฉพาะงานถ่ายภาพทุกประเภทเท่านั้น พร้อมกับศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากคอร์สเรียนของ อ.นพดล อาชาสันติสุข บรรณาธิการนิตยสาร CAMERART บวกกับประสบการณ์ที่สะสมมาเรื่อย ๆ ทำให้พี่โอ๊ตเริ่มเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า ควรจะโฟกัสกับการถ่ายภาพไปตลอดเลย
แต่ด้วยความที่สามารถถ่ายภาพได้ทุกประเภทก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะสุดท้ายแล้ว เราจะไม่สามารถโฟกัสกับอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแม้แต่พี่โอ๊ตเองก็เคยเจอกับปัญหานี้มาแล้วเช่นกัน
“หรือความฝันช่างภาพระดับโลกที่เคยฝันไว้ มันจะไม่มีทางเป็นจริงวะ”
เปิดโลก
พี่โอ๊ตเล่าให้ฟังว่า ชีวิตที่อังกฤษเป็นอะไรที่มีสีสันมาก ไปอยู่วันแรกก็เจอ Culture Shock แล้ว เพราะสังคมและวัฒนธรรมแบบตะวันตกจะ Independent คือปล่อยให้เราตัดสินใจทุกอย่างเอง แก้ปัญหาเอง ซึ่งผิดกับของไทยซึ่งเป็นสังคมแห่งการพึ่งพาอาศัยกัน
“พี่อยู่ที่อังกฤษต้องหางานทำเอง ไม่มีใครมาป้อนงานให้เหมือนตอนอยู่ไทยหรอก พี่เคยดิ้นหางานจนทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเงินแค่ 9 ปอนด์ซึ่งน้อยมาก สุดท้ายต้องขอยืมเพื่อนใช้ไปก่อน แต่โชคดีในจังหวะที่กำลังจะสิ้นหวัง งานเข้ามาพอดีครับ พระเจ้า ! ปัญหาที่พี่กังวลมาตลอดก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย”
ถ้าพูดถึงเรื่องการทำงาน พี่โอ๊ตบอกว่า ดีกว่าทำงานกับคนไทยเหมือนขาวกับดำ
“ทำงานกับคนต่างชาติได้ความเป็นมืออาชีพมากขึ้นครับ ทั้งทัศนคติและวินัย โดยเฉพาะเรื่องวินัยสำคัญมากสำหรับพี่ ไม่เชื่อก็ลองถามน้อง ๆ ที่ทำงานกับพี่ดูสิ ใครที่ไม่มีวินัยโดนพี่จัดหนักไปแค่ไหนบ้าง สังคมการทำงานของไทยยังขาดเรื่องนี้อีกมากเพราะคำว่า หยวน ๆ ชิล ๆ อะไรก็ได้ ฯลฯ นี่แหละครับ ส่วนเรื่องทัศนคติ คนไทยมักชอบคิดว่า ทำยังไงให้ได้ผลกำไรมากที่สุด ชี้วัดผลจากปริมาณ คุณภาพช่างมัน แต่สำหรับคนตะวันตกคือ ทำยังไงก็ได้ ขอแค่ได้ผลงานดีมีคุณภาพที่สุด จะเสียเงินเสียแรงแค่ไหนไม่เป็นไร ขอให้ผลที่ออกมาแล้วทำให้เขาชอบและบอกต่อ ๆ กันจนเข้ามาหาเราเอง สุดท้ายผลกำไรที่ได้รับจะมากยิ่งกว่าการทำงานด้วย Mindset ของคนไทยอีก”
ช่างภาพแต่งงานระดับโลก
จากประสบการณ์การทำงานที่อังกฤษของพี่โอ๊ตถือเป็นแนวทางพัฒนาวงการช่างภาพแต่งงานไทยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการหา Reference ภาพงานแต่งงาน พี่โอ๊ตแนะนำว่า ต้องทำมากกว่าการเอามาเป็นต้นแบบ แต่ยังต้องศึกษาไปให้ถึงรากลึกของ Reference นั้น ๆ ด้วยว่า แนวคิดนั้นมีพัฒนาการและที่มาที่ไปยังไงบ้าง ก็จะทำให้ค้นพบสไตล์การถ่ายภาพแต่งงานที่ว้าวกว่าที่เป็นอยู่ได้ ซึ่งพี่โอ๊ตได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของภาพถ่ายแต่งงานดังนี้ครับ
ภาพถ่ายแต่งงานแบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
Traditional Wedding Photography
เป็นภาพถ่ายงานแต่งงานที่ใช้ทักษะพื้นฐาน เน้นมุมและองค์ประกอบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ซึ่งจะทำให้อารมณ์และความรู้สึกของภาพที่ออกดูจริงจังและค่อนข้างเป็นทางการ
Wedding Photography
เป็นภาพแต่งงานทั่วไป แต่มีความเป็นธรรมชาติกว่า Traditional คือ คู่บ่าวสาวอาจมองหรือไม่มองกล้องบ้าง และเน้นมุมแบบแคนดิตเป็นหลัก
Wedding Photojournalism
เหมือนเราเป็นช่างภาพสายข่าวที่มาถ่ายงานแต่งงาน แล้วเล่าเป็นข่าว ๆ หนึ่งด้วยภาพว่า มีใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรบ้าง
Documentary Wedding Photography
สำหรับภาพถ่ายแต่งงานประเภทนี้ ภาพที่นำมาใช้เล่าเรื่องไม่เพียงแต่จะบอกแค่ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน แต่ภาพ ๆ นั้นยังต้องสื่ออารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านทางสีหน้าท่าทางของคน องค์ประกอบภาพ ตลอดจน Mood & Tone ของภาพที่คนเห็นแล้วเข้าใจทันทีว่า ภาพนี้ให้ความรู้สึกแบบนี้ เช่น ทำไมภาพแต่งงานบางภาพถึงเป็นขาว-ดำ เพราะนอกจากบรรยากาศอาจเป็นใจแล้ว ยังเป็นการทำให้ระลึกถึงว่า ภาพนี้มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น
ภาพถ่ายแต่งงานแนวไหนสวยที่สุดสำหรับพี่โอ๊ต พี่โอ๊ตตอบว่ายังไงรู้ไหม
“หัวใจสำคัญของภาพถ่ายงานแต่งงานไม่ได้อยู่ที่ว่าสวยหรือไม่สวย แต่อยู่ที่ว่า ภาพ ๆ นี้คุยกับคนดูได้มากน้อยแค่ไหน ง่าย ๆ คือถ่ายยังไงก็ได้ให้คนดูเข้าใจความหมายของภาพก็พอ”
ปรับโลก
“ถ้าลองสังเกตภาพถ่ายงานแต่งงานของพี่ดี ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Documentary เพราะพี่ใช้อารมณ์ถ่ายภาพเป็นหลัก ใช้อารมณ์กดแชะจนน้ำตาตกสะอื้นไห้ก็เคยเป็นมาหลายงานแล้ว คนอื่นอาจมองว่าเวอร์ แต่เหตุผลของพี่คือ ก็ตอนถ่ายเราต้องดื่มด่ำตามอารมณ์ของคู่บ่าวสาวไปด้วย จริงไหม ถ้าเราไม่อินกับงานแต่งงาน แล้วเราจะรู้ได้ไงล่ะว่าต้องกดชัตเตอร์จังหวะไหนให้อารมณ์ของคู่บ่าวสาวสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนที่สุด”
ถามถึงหลักการถ่ายภาพของพี่โอ๊ตบ้าง พี่โอ๊ตบอกว่า ไม่จำเป็นต้องคิดซับซ้อนหรือทำให้ดูดีขนาดนั้น ประเทศไทยมีหลักการมากพอแล้ว ถ่าย ๆ ไปเถอะ สรุปง่าย ๆ ก็คือ
พยายามฝึกฝนทักษะต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ ให้ติดเป็นนิสัยจนเป็นสัญชาตญาณ
เท่านี้ อารมณ์ ก็จะนำ ทักษะ โดยอัตโนมัติ
จากคำกล่าวที่ว่า ถ่ายยังไงก็ได้ ถ่าย ๆ ไปเถอะ พี่โอ๊ตอธิบายเพิ่มเติมว่า
“เราถ่ายภาพแต่งงาน เราโฟกัสที่อารมณ์คู่บ่าวสาวเป็นหลัก จังหวะนี้ ความรู้สึกนี้ ใช่เลย กดแชะทันที ลองคิดดูว่าถ้าเรายังทำงานแทนกล้อง เราจะกดชัตเตอร์ทันช็อตนั้นมั้ย ในเมื่อกล้องถ่ายรูปที่ใช้มีสมรรถนะและเทคโนโลยีอยู่ในตัวแล้ว ทำไมไม่ให้กล้องทำงานแทนคนถ่ายล่ะ เรื่องระบบการตั้งค่าต่าง ๆ ก็ปล่อยให้กล้องทำหน้าที่ของมันไปสิ ส่วนเราก็โฟกัสที่จังหวะและอารมณ์ของภาพไป ขอถามว่า กล้องถ่ายรูปบอกเราได้มั้ยว่า คุณต้องกดชัตเตอร์จังหวะนี้ อารมณ์นี้ คุณต้องคิดว่ากล้องถ่ายรูปก็เหมือนกับเพื่อนร่วมงานอีกแผนกหนึ่ง ไม่ใช่แค่อุปกรณ์ที่เราจะควบคุมมันยังไงก็ได้ คุณก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะเราซื้อกล้องถ่ายรูปจากเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณไม่ใช่เหรอ สุดท้ายงานจะออกมาดีไม่ดี อยู่ที่ทัศนคติของคนถ่ายทั้งนั้น”
ดูผลงานเพิ่มเติมพร้อมสอบถามรายละเอียดได้ที่
- โทร : 086-392-3939
- เว็บไซต์ : https://www.weddinglist.co.th/OAT-CHAIYASITH
- เฟซบุ๊ก : https://www.facebook.com/OATCHAIYASITH